กลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง

avatar

นอกจากการศึกษาเรื่องความเสี่ยงจะช่วยให้เราระวังตัวไม่ประมาทในการลงทุนได้แล้ว กลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงก็ยังจำเป็นสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ทำให้สามารถวิเคราะห์และมองภาพกว้างก่อนหรือระหว่างการลงทุนได้มากขึ้น

 

1. การประเมินตนเองและตั้งเป้าหมาย

ก่อนลงทุน ควรทำความเข้าใจว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน หากราคาหุ้นตกลง เราจะสามารถรับมือกับความผันผวนทางจิตใจและทางการเงินได้หรือไม่ การรู้ขีดจำกัดของตัวเองจะช่วยให้เลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม และการมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เพื่อเกษียณอายุ, ซื้อบ้าน, หรือเพื่อการศึกษาบุตร จะช่วยให้วางแผนการลงทุนได้เหมาะสมกับระยะเวลาและระดับความเสี่ยงที่รับได้


กลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง


2. การกระจายความเสี่ยง (Diversification)

เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยงช่วยลดผลกระทบจากการที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมีผลงานไม่ดี

 

กระจายในหลายอุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจ: ไม่ควรถือหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวทั้งหมด หากอุตสาหกรรมนั้นประสบปัญหา พอร์ตลงทุนจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ควรแบ่งลงทุนในอุตสาหกรรมที่หลากหลายและไม่สัมพันธ์กันมากนัก

กระจายในหลายขนาดบริษัท (Market Cap): ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap), หุ้นขนาดกลาง (Mid Cap) และหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) มีลักษณะความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน การรวมกันจะช่วยลดความผันผวน

กระจายในสินทรัพย์อื่นนอกเหนือจากหุ้น: นอกจากการกระจายในหุ้นแล้ว การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตร, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs), ทองคำ หรือเงินสด จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตได้ เพราะสินทรัพย์เหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวสวนทางหรือมีความสัมพันธ์กันน้อยกว่าเมื่อตลาดหุ้นมีความผันผวน

กระจายในภูมิภาค/ประเทศ: สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในระดับสากล การลงทุนในหุ้นของบริษัทในต่างประเทศสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะประเทศได้

 

3. การศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างละเอียด

 

วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis): ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด เช่น ผลประกอบการ, งบการเงิน, หนี้สิน, แนวโน้มธุรกิจ, การบริหารจัดการ เพื่อให้มั่นใจว่าลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโต

ติดตามข่าวสารและสภาวะตลาด: ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ, การเมือง, และข่าวสารของบริษัทที่ลงทุนอยู่ เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที

 

4. การใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง

 

การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss): เป็นคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อขายหุ้นเมื่อราคาตกลงถึงระดับที่กำหนด เพื่อจำกัดผลขาดทุนไม่ให้บานปลาย การตั้ง Stop Loss ควรพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่รับได้และลักษณะของหุ้น

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging - DCA): การลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากันอย่างสม่ำเสมอในทุกงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้นในขณะนั้น วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด (Market Timing) ได้ เพราะจะทำให้ได้ซื้อหุ้นในราคาเฉลี่ยทั้งช่วงที่ราคาถูกและราคาแพง

การใช้เครื่องมืออนุพันธ์ (Derivatives) เพื่อ Hedging: สำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์สูง สามารถใช้เครื่องมืออนุพันธ์ เช่น Options หรือ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาหุ้นได้ (เป็นวิธีที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงหากไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอ)

 

5. การปรับพอร์ตและทบทวนอย่างสม่ำเสมอ

 

ปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing): ตรวจสอบและปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้กลับมาเป็นไปตามแผนที่วางไว้เป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ทบทวนแผนการลงทุน: สภาวะตลาดและเป้าหมายส่วนตัวอาจเปลี่ยนแปลงไป ควรทบทวนแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ายังคงสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 

ข้อคิดเพิ่มเติมในการบริหารความเสี่ยงคือ อย่าลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ ให้ใช้เฉพาะเงินเย็น หรือเงินที่หากสูญเสียไปจะไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิต ถ้ายิ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนและตลาดหุ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญคือต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เพราะความโลภและความกลัวเป็นศัตรูของการลงทุนที่ดี การยึดมั่นในวินัยและแผนการลงทุนที่วางไว้จะช่วยให้รอดพ้นจากกับดักทางอารมณ์

风险提示:本文所述仅代表作者个人观点,不代表 Followme 的官方立场。Followme 不对内容的准确性、完整性或可靠性作出任何保证,对于基于该内容所采取的任何行为,不承担任何责任,除非另有书面明确说明。

喜欢的话,赞赏支持一下
avatar
回复 0

加载失败()

  • tradingContest